เที่ยวเมืองไทย@ศึกษาดูงานที่จ.ขอนแก่น

6/22/2553

เรื่องของแม่



แม่
เป็นภาระให้แก่ลูกทุกคนมาตั้งแต่เกิด นั่นเป็นความจริงที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้ ก็ลองคิดดูสิ ตั้งแต่เราเกิดมา ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย อยู่ดีๆ ผู้หญิงคนนี้ก็มาโอบอุ้ม ถูกเนื้อต้องตัวเรา มิวายที่เราจะแหกปากร้องไห้ขับไล่ไสส่งยายผู้หญิงคนนี้ขนาดไหน เธอก็ยังพยายามปลอบโยน เห่กล่อมเราอยู่นั่นแหละ เป็นภาระให้เราต้องจำใจเงียบ ยอมนอนดูดนมเธออยู่จั่บๆๆ
พอเราเริ่มเตาะแตะ ตั้งไข่จะเดินไปไหนต่อไหนมั่ง คุณเธอก็ยังคอยเรียกหาเราอยู่นั่นแหละ
"มานี่มาลูก มานี่มา อีกนิดเดียวลูก อีกนิดเดียว อีกก้าวเดียว "ไม่ รู้จะเรียกทำไมนักหนา ไอ้เราก็เดินล้มลุกคลุกคลานอยู่ เห็นมั้ย เป็นภาระที่เราต้องเดินไปให้เธอกอดอีก
โตขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้ หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้ เละๆ เทะๆ มาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ก็เอาวะ เอาซะหน่อย เคี้ยวไปเเจ่บๆ อย่างนั้นแหละ แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม คงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะ กล้วยบดนะจ๊ะ เธอจ๋า ในปากฉันตอนนี้น่ะ ถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ
โตขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้ หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้ เละๆ เทะๆ มาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ก็เอาวะ เอาซะหน่อย เคี้ยวไปเเจ่บๆ อย่างนั้นแหละ แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม คงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะ กล้วยบดนะจ๊ะ เธอจ๋า ในปากฉันตอนนี้น่ะ ถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ
โตขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้ หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้ เละๆ เทะๆ มาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ก็เอาวะ เอาซะหน่อย เคี้ยวไปเเจ่บๆ อย่างนั้นแหละ แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม คงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะ กล้วยบดนะจ๊ะ เธอจ๋า ในปากฉันตอนนี้น่ะ ถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ
ทีนี้พอเราเริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นมา หน่อย คราวนี้ยังไงล่ะ ผู้หญิงคนนี้กลับขับไล่ไสส่งให้เราไปโรงเรียนซะอีก ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ บางทีมีตีเราเข้าให้อีก ภาษาอะไรนักก็ไม่รู้ เอามาให้เราหัดอ่านหัดเรียนใช่มั้ย ลองคิดดูนะ สัปดาห์หนึ่งต้องไปโรงเรียนตั้งห้าวันน่ะ มันภาระหนักหนาแก่เราแค่ไหน
แต่พอถึงเวลาเราจะดูทีวี ดูหนังการ์ตูน นอนดึกขึ้นมาสักหน่อย ลองนึกย้อนไปสิ ใครกันเคี่ยวเข็ญให้เราไปนอนด้วย ตัวเองง่วงจะนอนคนเดียวก็ไม่ได้นะ ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ใช่มั้ย ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกหรอกนะ เพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้น
วันเวลาผ่านไป เราโตขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที ลูกอยากจะทำผมทำเผ้า แต่งเนื้อเเต่งตัวให้มันดูอินเทรนด์ ดูทันสมัย ใคร ใครกันเป็นตัวสกัดดาวรุ่ง พูดแล้วขนลุก ผู้หญิงคนนี้มีพัฒนาการไม่คืบหน้าไปไหนเลย ว่ามั้ย
โตขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้ หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้ เละๆ เทะๆ มาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ก็เอาวะ เอาซะหน่อย เคี้ยวไปเเจ่บๆ อย่างนั้นแหละ แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม คงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะ กล้วยบดนะจ๊ะ เธอจ๋า ในปากฉันตอนนี้น่ะ ถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ แต่พอถึงเวลาเราจะดูทีวี ดูหนังการ์ตูน นอนดึกขึ้นมาสักหน่อย ลองนึกย้อนไปสิ ใครกันเคี่ยวเข็ญให้เราไปนอนด้วย ตัวเองง่วงจะนอนคนเดียวก็ไม่ได้นะ ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ใช่มั้ย ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกหรอกนะ เพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้น วันเวลาผ่านไป เราโตขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที ลูกอยากจะทำผมทำเผ้า แต่งเนื้อเเต่งตัวให้มันดูอินเทรนด์ ดูทันสมัย ใคร ใครกันเป็นตัวสกัดดาวรุ่ง พูดแล้วขนลุก ผู้หญิงคนนี้มีพัฒนาการไม่คืบหน้าไปไหนเลย ว่ามั้ย
พอเราสำเร็จจบการศึกษาเเล้วเป็นยัง ไง... เธอร้องไห้ครับ เชื่อเถอะว่าเธอต้องร้องไห้ ถ้าเราไม่เห็นก็แปลว่าเธอต้องแอบร้องไห้ มีอย่างที่ไหน เราคร่ำเคร่งร่ำเรียนมาแทบตาย แล้วตัวเองแท้ๆ ที่เป็นคนเริ่มเรื่อง พอเราเรียบจบแทนที่จะดีใจดันมาร้องไห้ มีอย่างที่ไหน

ดีนะว่าเราเข้าใจ คู่มือการเลี้ยงแม่ ก็เลยทำใจได้ ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ขอไปฉลองการสำเร็จการศึกษากับพวกเพื่อนๆ ที่นอกบ้านก่อน ก็แหม เรียนจบทั้งที จะมาให้นั่งดูผู้หญิงแก่ๆ นั่งร้องไห้ทำไมล่ะ ใช่มั้ย

เป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้วนี่ คราวนี้ใครๆ ก็ต้องอยากมีแฟน คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็เรื่องมาก ผมยาวไปมั่งล่ะ ดูไม่มีความรับผิดชอบมั่งล่ะ...แม่ แม่จะไปรู้อะไร แม่เคยคบกับเขาเหรอ

ไม่ใช่แค่เรื่องคู่ครองเท่านั้นนะ แม่เขายังอยากรู้ไปจนถึงเรื่องอาชีพการงานด้วยว่าเราจะไปทำอะไร อยากเป็นอะไร

แม่ครับ แม่ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ยพวกเราจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของพวกเรา อนาคตของเรา ขอให้เราได้ตัดสินมันเอง แต่เรารับรองกับแม่ได้อย่างหนึ่งว่า เรา จะไม่เป็นเหมือนแม่หรอก... เชย

นับจากบรรทัดแรก จนมาถึงบรรทัดนี้ เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว สมควรที่พวกเราจะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเองสักที ว่าแล้วเราก็ย้ายออกจากบ้านแม่ มายืนด้วยลำแข้งของตัวเอง อย่างที่แม่เคยพูดไง แล้วทำไมต้องมาทำตาละห้อยด้วยล่ะ วันที่เราย้ายออกมาน่ะ มันก็ไม่ได้ใกล้ มันก็ไม่ได้ไกลหรอกนะ ไอ้ที่ย้ายออกมาน่ะ แต่เวลามันรัดตัวจริงๆ ใช้โทร.คุยกันก็ได้นะแม่นะ

ถึงวันที่เรามีลูก แม่ยังพยายามอยากมาทำตัวเป็นภาระกับลูกเราด้วย เราบอกแม่ว่าไม่ต้องมายุ่งหรอก เราดูแลลูกของเราได้ เด็กสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยแม่แล้วล่ะ

แม่อายุเกือบหกสิบปีแล้ว โทร.มาไอแค่กๆ บอกไม่ค่อยสบาย เราบอกแม่ว่าอย่าคิดมาก ในใจเรารู้อยู่แล้วว่าแม่พยายามเรียกร้องความสนใจ นั่นเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของคุณแม่วัยนี้

จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง คุณโทร.กลับไปที่บ้านแม่ แต่... ไม่มีคนรับสายแล้ว อย่าเพิ่งตกใจ แม่อาจจะออกไปทำบุญที่วัดตามประสาคนแก่ก็ได้ ลองโทร.เข้ามือถือแม่ดูซิ...ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก...

อย่าเพิ่งด่วนสรุป มือถือแม่อาจจะแบตหมดก็ได้ ผู้หญิงคนนี้กระดูกเหล็กจะตายไป เธอต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ คิดฟุ้งซ่านไปได้ ยังไงแม่ก็ต้องรอเราอยู่เหมือนเดิมน่ะแหละ ไปหาเมื่อไหร่ก็ต้องเจอ อย่างมากแกก็อาจจะงอนนิดๆ หน่อยๆ พอเห็นหลานตัวเล็กๆ วิ่งเข้าไปกอดก็ขี้คร้านจะอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้ง หลายวันผ่านไป ทำไมแม่ยังไม่โทร.กลับมาอีกนะ ทำบุญตักบาตรก็ไม่น่าจะรอคิวนานขนาดนี้ ชาร์จ แบตมือถือไม่เต็มก็เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นแบตเตอรี่รถสิบล้อป่านนี้ไฟทะลักแล้ว

วันนี้แวะไปหาแม่สักหน่อยดีกว่า ระหว่างทางที่คุณขับรถไป ลูกคุณซนเป็นลิงอยู่ข้างๆ ประโยคมากมายที่หลุดจากปากคุณ ล้วนเเต่เป็นคำที่แม่คุณเคยพูดมาแล้วทั้งสิ้น คุณเพิ่งสัมผัสได้ ภาพเก่าๆ มากมายที่ผู้หญิงคนนั้นทำวิ่งวนอยู่ในหัวคุณ ช่างเถอะ.. เดี๋ยวเจอเธอแล้ว คุณจะสารภาพผิด แล้วทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น แล้วคุณก็ได้เจอ คนที่คุณรู้สึกว่าเธอเป็นภาระให้กับคุณมาตั้งแต่เกิด

หน้าร้อนกับการประหยัดพลังงาน




แม้ประเทศไทยจะมีอากาศร้อนเกือบตลอดทั้งปี จนเราชักจะชินกับสภาพอากาศร้อนเสียแล้ว แต่กระนั้นเมื่อย่างเข้าหน้าร้อนทีไร หลายท่านก็ต้องมานั่งบ่นกันถึงความร้อนและวิธีการคลายร้อนทุกปีบางครั้งก็อด คิดว่าปีนี้ร้อนกว่าปีก่อนหรือเปล่านะ?
สิ่งที่มาพร้อมกับหน้าร้อน นอกจากอารมณ์จะหงุดหงิดง่ายแล้ว ยังมีบิลค่าไฟที่พอเห็นแล้วเล่นเอาเหงื่อตกเลยทีเดียว บางคนก็อาจจะบ่นโดยคิดค่าไฟในอัตรามหาโหดหรือคิดค่าไฟผิดเปล่า เป็นต้น แต่ลืมนึกไปว่าพฤติกรรมการใช้พลังงานในหน้าร้อนของแต่ละบ้านที่เป็นอยู่นั้น เป็นไปแบบไม่บันยะบันยังหรือเปล่า ยิ่งตอนนี้ถ้าถามกันในหน้าร้อนอย่างนี้ว่าจะแก้ร้อนได้อย่างไร ดูเหมือนทุกคนจะตอบตรงกันว่า “ก็ติดเครื่องปรับอากาศ น่ะสิ”

ฟังดูง่ายดี... แต่ทราบไหมว่าเครื่องปรับอากาศนั้นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟฟ้ามากที่สุด ในบ้าน ก็ต้องเตรียมตัวจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มในหน้าร้อนนี้อย่างแน่นอน

วิธีประหยัดค่าไฟในหน้าร้อนทำได้ไม่ยาก นอกจากรู้จักใช้เครื่องปรับอากาศอย่างประหยัดแล้ว ยังมีวิธีที่ช่วยให้บ้านเย็นสบายได้อีกหลายวิธี ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมรับสถานการณ์อากาศร้อนแต่เนิ่นๆจดหมายข่าวอนุรักษ์ พลังงานฉบับนี้จึงขอแนะนำวิธีการประหยัดพลังงานสำหรับบ้านในช่วงหน้าร้อนนี้ เริ่มจาก

1. หันบ้านให้ถูกทาง
(วิธีเหมาะสำหรับท่านที่กำลังจะปรับปรุงใหม่ หรือสร้างบ้านใหม่) อย่างที่ทราบกันว่าสภาพแวดล้อมรอบๆ บ้านมีส่วนช่วยทำให้บ้านเย็นสบาย เช่น มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา มีแหลงน้ำที่ให้ความเย็นไม่มีอาคารกีดขวางทางลม เป็นต้น การวางตำแหน่งของบ้านที่ดีจะทำให้ภายในบ้านได้รับประโยชน์จากธรรมชาติจึงถือ เป็นการเริ่มต้นที่ช่วยให้การใช้พลังงานในบ้านน้อยลง การวางตำแหน่งบ้านจึงแนะนำให้ใช้หลักง่ายๆ คือ “เปิดรับแสงเหนือ” และ “กันแดดด้านตะวันตกและใต้” เท่านี้ก็พอจะสู้รบกับความร้อนได้อย่างดี

2. กางร่มในบ้าน
หลายๆ บ้านไม่สามารถหันบ้านหลบแดดได้ เนื่องจากปลูกสร้างมานาน ก็อาจใช้แนวคิดการ “การร่มให้บ้าน” เพื่อให้ตัวบ้าน เช่น ผนัง หลังคา หรือช่องหน้าต่างถูกแสงแดดน้อยที่สุด จะทำให้ความร้อนถ่ายเทเข้าบ้านน้อยลง เมื่อความร้อนเข้าน้อย ค่าไฟฟ้าของการใช้เครื่องปรับอากาศก็จะน้อยด้วย (เช่นเดียวกับเวลาเราขับรถหาที่จอดรถ เราก็มักจะเลือกจอดในร่ม เวลากลับเข้ามาในรถจะได้ร้อนน้อยกว่าการจอดกลางแดด) วิธีการที่ง่ายและให้ประโยชน์มากที่สุดของการ “กาง ร่มให้บ้าน” คือ การปลูกต้นไม้บริเวณรอบๆ ได้เทียบเท่ากับเครื่องปรับอากาศขนาด 1 ตันเลยทีเดียว

3. อย่าสร้างแหล่งความร้อน
บริเวณพื้นที่ว่างรอบตัวบ้านที่หลายๆ บ้าน มักทำเป็นลานคอนกรีต ซึ่งลานคอนกรีตนั้นจะเป็นตัวดูดความร้อนและอมความร้อนไว้จนกลายเป็น “แหล่งผลิตความร้อน” หรือ “มวล ความร้อน” ซึ่งหากมีพื้นที่ที่กว้างใหญ่และอยู่ทางทิศใต้หรือทิศตะวันตกแล้ว แทนที่จะได้ลมเย็นพัดเข้าบ้านให้เลือกใช้บล็อกสนามที่มีรูให้หญ้าสามารถขึ้น ได้ หรือไม่ต้อง “กางร่มให้ลานคอนกรีต” โดยปลูกต้นไม้กันแดด เป็นต้น

4. ยอมให้ลมพัดผ่าน
ทุกครั้งที่มีลมพัดผ่านตัวเรา เราจะรู้สึกเย็นสบาย ถ้าบ้านเรามีลมเย็นพัดเข้าบ้านก็อาจไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือเปิดก็เพียงแต่น้อย ทิศทางลมหลักๆ ของประเทศเราคือลมหน้าร้อนพัดมาจากทางทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ส่วนลม หน้าหนาวพัดมาจากทางทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ
การจัดวางบ้านให้ได้รับลมประจำต้องพยายามให้มีช่องเปิดที่ผนังด้านทิศเหนือ และทิศใต้ ทั้ง 2 ด้าน แต่บ้านที่อยู่ในเมือง ลมอาจพัดมาได้จากหลายทิศทางเนื่องจากมีสิ่งก่อสร้างอาคารบ้านเรือนอยู่เยอะ ทำให้ลมเปลี่ยนทิศ ก็สามารถเลือกเปิดช่องหน้าต่างด้านที่เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น เลือกด้านที่แดดส่องเข้าน้อยที่สุด เป็นต้น

5. เปิดบ้านรับแสงธรรมชาติ
การที่แต่ละห้องในบ้านมีช่องแสงหรือหน้าต่างให้แสงธรรมชาติสามารถส่องเข้ามา ในห้องได้นั้นประโยชน์ที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ ไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้าสำหรับโคมไฟในเวลากลางวัน ซึ่งเป็นช่วงที่มีแสงสว่างธรรมชาติเพียงพอ การเปิดรับแสงธรรมชาติให้ส่องเข้าบ้านได้ดีนั้นควรอยู่ในทิศทางที่ไม่มีแสง แดดเข้ามาด้วยได้แก่ ทิศเหนือ ดังนั้น ถ้าทุกห้องมีแสงธรรมชาติเข้าได้เพียงพอเชื่อได้เลยว่าจะประหยัดค่าไฟได้ เดือนละหลายบาทแถมในห้องก็ไม่อับชื้นด้วย

6. ปรับที่ และปรับตัว
เชื่อว่าที่บ้านของทุกคนนั้นจะมีบริเวณหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นภายนอกบ้านหรือภายในบ้านที่ค่อนข้างจะเย็นสบายที่สุดในแต่ละ เวลา เช่น มีร่มเงา มีลมพัดผ่านอยู่เสมอ มีแสงสว่างธรรมชาติที่ดี เมื่อรู้แล้วว่าเป็นบริเวณใด ลองปรับการใช้สอยของตัวเรา เช่น จัดบริเวณนั้นให้เป็นที่ตั้งโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งเล่น พักผ่อนหรือทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงดังกล่าว เท่านี้ก็เป็นการ “เคลื่อน ตัวเราหาลมและแสงธรรมชาติ”

7. ติดตั้งฉนวนป้องกันความร้อน
“ฉนวนกันความร้อน” เพื่อป้องกันความร้อนไม่ให้เข้ามาในบ้าน วัสดุพวกนี้มีหลายชนิดและหลายประเภทสามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ และงบประมาณที่มี หากบ้านของเรามีการปรับอากาศตลอดเวลาทั้งหลัง(เหมือนตู้เย็น) คงต้องฟันธงบอกว่าติดทั้งหลัง แต่ในความเป็นจริงแต่ละบ้านจะมีการปรับอากาศเพียงบ้างห้องบางเวลา ก็ต้องเลือกติดตามงบที่มีในจุดที่ได้รับความร้อนที่สุดก่อน เป็นต้น

8. เรื่องน่ารู้ก่อนใช้ไฟฟ้า
ไฟฟ้าที่ใช้ส่วนใหญ่ในบ้านพักอาศัย แยกออกได้ 3 ส่วนคือ ไฟฟ้าที่ใช้สำหรับการปรับอากาศไฟฟ้าที่ใช้สำหรับให้แสงสว่าง และไฟฟ้าที่ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่างๆ ดังนั้น ควรที่จะ
เลือกใช้ให้ถูกชนิด เครื่องปรับอากาศขนาด 1 ตัน 1 เครื่อง ใช้ไฟฟ้ามากกว่ากับพัดลม 16-20 ตัว จะเลือกใช้อะไรก็ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
บำรุงรักษา เป็นหัวใจหนึ่งในการประหยัดค่าไฟ เช่น ทำความสะอาดหลอดไฟ ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศเครื่องปรับอากาศ การล้างทำความสะอาดพัดลม เป็นต้น
ใช้อย่างถูกวิธี เช่น เตารีดกินไฟมากก็ควรรีดละมากไม่ต้องรีดบ่อย เครื่องซักผ้าก็เช่นกันซักครั้งละมากๆ ไม่ต้องซักบ่อย กาต้มน้ำเมื่อเดือดก็เอาปลั๊กออก ตั้งตู้เย็นให้ห่างจากผนัง เป็นต้น


6/21/2553

โครงการหญ้าแฝก



ทฤษฎีการป้องกันการเสื่อมโทรมและพังทลายของดินโดยหญ้าแฝก
พืชจากพระราชดำริ : กำแพงที่มีชีวิตในการอนุรักษ์
และคืนธรรมชาติสู่แผ่นดิน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงสภาพปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน
และการสูญเสียหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ จึงทรงศึกษาถึงศักยภาพของ “หญ้าแฝก”
ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านของไทย ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยป้องกันการชะล้างพังทลาย
ของหน้าดินและอนุรักษ์ความชุ่มชื้นใต้ดิน ซึ่งมีวิธีการปลูกแบบง่าย ๆเกษตรกรสามารถ
ดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องให้การดูแลหลังการปลูกมากนัก ทั้งประหยัดค่าใช้จ่าย
กว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้ดำเนินการศึกษาทดลอง
เกี่ยวกับหญ้าแฝก ลักษณะของหญ้าแฝก หญ้าแฝกมีชื่อสามัญเป็นภาษาอังกฤษว่า
Vetiver Grass มีด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือ หญ้าแฝกดอน (Vetiveria nemoralis A.
Camus) และหญ้าแฝกหอม (Vetiveria zizanioides Nash) เป็นพืชที่มีอายุ
ได้หลายปี ขึ้นเป็นกอแน่น มีใบเป็นรูปขอบขนานแคบปลายสอบแหลม ยาว 35-80 ซม.
มีส่วนกว้าง 5-9 มม. หญ้าแฝกจะมีการขยายพันธุ์ที่ได้ผลรวดเร็ว โดยการแตกหน่อ
จากลำต้นใต้ดิน ในบางโอกาสสามารถแตกแขนงและรากออกในส่วนของก้านช่อดอกได้
เมื่อหญ้าแฝกโน้มลงดินทำให้มีการเจริญเติบโตเป็นกอหญ้าแฝกใหม่ได้

การใช้ประโยชน์จากหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ

1.การปลูกเป็นแถวตามระดับขวางความลาดชัน เพื่อชะลอความเร็วของน้ำ
และดักตะกอนดิน ส่วนน้ำจะไหลซึมลงไปสู่ดินชั้นล่างได้มากขึ้น เป็นการเพิ่ม
ความชุ่มชื้นในดิน ส่วนรากหญ้าแฝกจะหยั่งลึกลงไปในดินอาจถึง 3 เมตร
ซึ่งสามารถยึดดินป้องกันการพังทลายได้

2.การปลูกเพื่อแก้ปัญหาการพังทลายของดินเป็นร่องน้ำลึก

3.การปลูกในพื้นที่ที่มีความลาดชัน โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคใต้ ให้ปลูกหญ้าแฝก
เป็นแนวรั้วบริเวณคันคูขอบเขา หรือริมขั้นบันไดดินด้านนอก โดยควรปลูกเป็นแถว
ตามแนวขวางความลาดเทในต้นฤดูฝน

4.การปลูกเพื่อการอนุรักษ์ความชุ่มชื้นในดิน โดยปลูกแถวหญ้าแฝกขนานไปกับแถว
ของไม้ผล ปลูกแบบวงกลมรอบไม้ผล และปลูกแบบครึ่งวงกลมหงายรับน้ำฝน

5.การปลูกเพื่อป้องกันการเสียหายของขั้นบันไดดินหรือคันคูรับน้ำรอบเขา

6.การปลูกเพื่อป้องกันตะกอนดินทับถมลงสู่คลองส่งน้ำ ระบายน้ำ อ่างเก็บน้ำในไร่นา
ตลอดจนปลูกรอบสระ หรือปลูกเป็นแถวขนานไปกับแม่น้ำ ลำคลองเพื่อกรอง
ตะกอนดิน

7.การปลูกเพื่อฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรม

8.การปลูกเพื่อป้องกันการพังทลายของไหล่ถนนที่ลาดชันสูง โดยปลูกหญ้าแฝก
เพื่อยึดดินและเบี่ยงเบนทางน้ำไหลบริเวณไหล่ทาง และปลูกขวางแนวลาดเท
เพื่อป้องกันการพังทลายและเลื่อนไหลของดิน

9.การปลูกในพื้นที่ดินดาน รากหญ้าแฝกสามารถหยั่งลึกลงไปในดินดาน
ทำให้ดินแตกร่วนขึ้น และหน้าดินจะมีความชื้นเพิ่มขึ้น

10.การปลูกเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ รากหญ้าแฝกจะเป็นกำแพง
กักกั้นดินและสารพิษที่ปะปนมากับน้ำไม่ให้ไหลลงสู่แหล่งน้ำเบื้องล่างและรากยังมี
ประสิทธิภาพในการดูดซับธาตุโลหะหนักและสารเคมีบางอย่างได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น

ประโยชน์เอนกประสงค์อื่น ๆ ของหญ้าแฝก

1.ปลูกหญ้าแฝกบนคันนา เพื่อให้คันนาคงสภาพอยู่ได้นาน

2.ปลูกหญ้าแฝกเพื่อใช้ประโยชน์มุงหลังคา ตับหลังคาที่ทำจากหญ้าแฝกสามารถผลิต
จำหน่ายได้ ส่วนรากที่มีความหอมนั้นคนไทยรุ่นเก่าเคยนำมาแขวนในตู้เสื้อผ้าทำให้
มีกลิ่นหอมและช่วยไล่แมลงที่จะทำลายเสื้อผ้าได้

3.หญ้าแฝกมีสรรพคุณช่วยขับลมในลำไส้ แก้อาการท้องอืดเฟ้อ และแก้ไข้ได้ ส่วนราก
สามารถนำมาสกัดทำน้ำมันที่มีประโยชน์และคุณค่าทางการค้าได้ อาทิเช่น
ฝรั่งเศสผลิตน้ำหอมจากรากหญ้าแฝก ชื่อ “Vetiver”

จากการดำเนินงานที่ทุกหน่วยงานได้ร่วมมือกันให้เป็นไปตามพระราชดำริ ทำให้มี
ผลการศึกษาและการปฏิบัติได้ผลอย่างชัดเจน จนเป็นที่ยอมรับจากธนาคารโลกว่า
“ประเทศไทยทำได้ผลอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม” เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2536 International Erosion Control Association(IECA) ได้มีมติ
ถวายรางวัลThe International Erosion Control Association’s International
Merit Award แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงเป็นแบบอย่างในการนำ
หญ้าแฝกมาใช้ในการอนุรักษ์ดินและน้ำ และเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2536
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำแห่งธนาคารโลก ได้นำคณะเข้าเฝ้า
ทูลละอองธุลีพระบาททูลเกล้า ฯ ถวายแผ่นเกียรติบัตรเป็นภาพรากหญ้าแฝกชุบสำริด
ซึ่งเป็นรางวัลสดุดีพระเกียรติคุณ (Award of Recognition) ในฐานะที่ทรงมุ่งมั่น
ในการพัฒนาและส่งเสริมการใช้หญ้าแฝกในการอนุรักษ์ดินและน้ำ และผลการดำเนิน
งานหญ้าแฝกในประเทศไทยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลก ความอุดมสมบูรณ์
ของผืนแผ่นดินที่กลับคืนมานี้ เป็นเพราะพระวิริยะอุตสาหะและพระปรีชาญาณอันยาวไกล
แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงศึกษาวิเคราะห์เพื่อหาหนทางในการแก้ไข
ปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยที่กำลังถูกทำลายไป
อย่างรวดเร็วทั้งนี้เพื่อความมั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุขของประชาชนอย่างแท้จริง

วิธีการเขียนการ์ตูน 4 สีมีขั้นตอน



ขอพักจากเรื่องกีฬาสักหน่อย

ผมกำลังแต่งการ์ตูนแบบสมัครเล่นอยู่นะครับ แต่ผมรู้พื้นฐานแค่ของการ์ตูนญี่ปุ่นขาว-ดำทั่วไป อยากรู้

ของการ์ตูนแบบ 4 สีครับ เพราะเป็นแบบที่ผมเขียนพอดี แบบขาวดำก็จะมี

1. คิดเรื่อง พล๊อตเรื่องก่อนว่าเรื่องราวเราจะเป็นอย่างไร

2. ออกแบบ ออกแบบตัวละคร ฉาก สิ่งของในเรื่อง (ของผมอันนี้ไม่ต้องเพราะเป็นการเอาตัวละครที่มีอยู่แล้วมารวมกัน)

3. สตอรี่บอร์ด การเขียนสตอรี่บอร์ด นั่นคือ การคิดช๊อตของการ์ตูนในแต่ละหน้าว่าเราจะวางช่องการ์ตูนยังไง บทยังไง การเขียนสตอรี่บอร์ด จะมีประโยชน์ต่อการวาดมาก เพราะมันเหมือนการวางแผนทำให้เราสามารถวาดการ์ตูนได้ตามหน้า ตามเรื่องที่กำหนด เวลาร่างจะได้ไม่ต้องลบบ่อยๆด้วย เขียนสตอรี่บอร์ดเป็นไกด์ไลน์ไว้ก่อน

4. ร่าง ร่างด้วยดินสอบนกระดาษจริง

5. ตัดเส้น จะใช้จีเพ็น พิกม่า อะไรก็แล้วแต่ การตัดเส้น ถ้าอยากเก่ง ต้องขยันฝึก สำหรับจีเพ็น ระยะเวลาการฝึกให้ชำนาญเฉลี่ยอยู่ในระยะเวลาที่ 1 ปี

6. ตกแต่งภาพ ติดสกรีน อะไรก็แล้วแต่


นี่แค่บอกคร่าวๆ ทำจริง มีมากกว่านี้เยอะ ขั้นตอนแรกของขั้นตอนแรกคือ ฝึกวาดรูปให้เก่งก่อน ฝึกเยอะๆ สะสมประสบการณ์ท่กๆ 5 ปี 10 ปี ยังไม่สาย ขยันเข้าไว้พอ

นอกจากจะวาดรูปเป็น อยากแต่งเรื่องเก่งก็ขยันอ่านเข้าไว้ การ์ตูน ดูหนังเยอะๆ อ่านนิยายเยอะๆ หลายๆแนวๆได้ก็ดี เสพให้เยอะๆเข้าไว้

ส่วนแบบ 4 สีผมอยากรู้ว่าใช้สีอะไรระบายด้วยครับ จะได้ใช้สีถูกด้วย



โครงการฝนหลวง



จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่างๆเป็นประจำ ได้ทรงพบเห็นท้องถิ่นหลายๆแห่งประสบปัญหาความแห้งแล้ง หรือขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และการทำเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูเพาะปลูก เกษตรกรจะประสบความเดือดร้อน ทุกข์ยากมาก เนื่องจากบางครั้งฝนได้ทิ้งช่วงนานหรือภาวะฝนทิ้งช่วงเกิดในระยะวิกฤติของพืชผล คือพืชอยู่ในระยะที่กำลังให้ผลผลิตต่ำ หรืออาจจะไม่มี ผลผลิตให้เลย เป็นต้น ดังนั้นภาวะฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงใน แต่ละครั้ง/แต่ละปีจึงสร้างความเดือดร้อน และความสูญเสียทางเศรษฐกิจแก่เกษตรกรเป็นอย่างสูง นอกจากนี้ภาวะความต้องการใช้น้ำนับวันจะทวีปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้นตามอัตราการเพิ่มของประชากร การขยายพื้นที่เกษตรกรรมและการเจริญเติบตของกลุ่มอุตสาหกรรม

ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลและทรง ความอัจฉริยะในพระองค์ท่านดังนั้นในปี พุทธศักราช2498จึงได้มีพระราชดำริค้นหาวิธีการ ที่จะทำให้เกิดฝนตกนอกเหนือจากที่จะได้รับ จากธรรมชาติโดยนำเทคโนโลยีนำสมัยและทรัพยากร ที่มีอยู่ประยุกต์กับศักยภาพของการเกิดฝน ในเขตร้อน เช่น ประเทศไทยมุ่งขจัดปัญหา ความเดือดร้อนดังกล่าว และทรงมีพระราชหฤทัย เชื่อมั่นว่าวิธีการดังกล่าวนี้ จะทำให้ การพัฒนาระบบการจัดทรัพยากรน้ำของชาติเกิด ความพร้อมและครบบริบูรณ์ตามวัฏจักรของ น้ำ คือ

1. การพัฒนาระบบ การจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำใต้ดิน
2. การพัฒนาระบบ การจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำผิวดิน
3. การพัฒนา การ จัดการทรัพยากรแหล่งน้ำใน บรรยากาศ

และทรงเชื่อมั่นในพระราชหฤทัย ว่าด้วย ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ ของประเทศจะ สามารถดำเนินการให้บังเกิดผลสำเร็จได้ อย่างแน่นอน
ดังนั้น ในปี พุทธศักราช 2499 จึงได้ทรง พระมหากรุณาพระราชทาน โครงการพระราชดำริ "ฝนหลวง" ให้หม่อมราชวงศ์ เทพฤทธิ์ เทวกุล รับไปดำเนินการ ศึกษา วิจัย และ การพัฒนา กรรมวิธีการทำฝนให้บังเกิดผลโดยเร็ว

--------------------------------------------------------------------------------


เรื่องของในหลวงที่เราอาจไม่รู้


เรื่องส่วนพระองค์
1. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหา ภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
2. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด ์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า”น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่า รักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
3. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษก สมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความใน สมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
4. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมืองวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
5. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
6. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
7. เครื่องประดับ ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยก เว้น นาฬิกา
8. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว :ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
9. หลอดยาสีพระทน ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
10. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ ถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์ แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยู่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง

งานของในหลวง
11. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบันมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ 47.ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำ พระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง (ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
12. ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียว กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
13. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมา ถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็น ดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
14. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วม กับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
15. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73 บาท ซึ่ง ได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆ เติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
16. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯ สวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯ
ลง มา อธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
17. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า “ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูง เหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
18. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระ ดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

‘ฟูกูโอกะ’ เมืองน่าอยู่ของโลก



หากจะนึกถึงเมืองที่น่าอยู่ที่สุดเมืองหนึ่งของโลก ฟูกูโอกะ เมืองท่าที่อยู่บนเกาะคิวชูทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ก็คงจะถูกนับรวมเป็นหนึ่งในนั้น ไม่เพียงเท่านั้นที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญของภูมิภาค เพราะความที่ตั้งอยู่ใกล้กับแผ่นดินใหญ่ทางฝั่งเกาหลีใต้ จึงทำให้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมมากมายที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยมาจวบจนปัจจุบัน



นอกจากอาคารบ้านเรือนที่มักตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งเป็นส่วนใหญ่สมกับความเป็นเมืองท่ามาช้านานแล้ว มนต์เสน่ห์อีกอย่างของฟูกูโอกะที่เมืองอื่น ๆ ไม่มีก็คือ ร้านแผงลอยยาไตอิ ร้านอาหารเล็ก ๆ ที่มีที่นั่งจำกัดไม่เกิน 10 คนหันหน้าเข้าสู่คนขายที่กำลังขะมักเขม้นปรุงแต่งอาหารเลื่องชื่อของเมืองที่ว่ากันว่ามีความหลากหลายมากกว่าพันอย่าง


สำหรับในช่วงฤดูร้อนร้านอาหารแผงลอยเหล่านี้ที่กระจายตัวกันอยู่ทั่วเมือง และจะเปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนดึกดื่นค่อนคืน จะเปิดแผงลอยโล่งให้ได้ยลโฉมสิ่งที่อยู่ภายในได้ง่าย ๆ แต่สำหรับในช่วงฤดูหนาวอย่างนี้ ภาพของยาไตอิจะกลายเป็นร้านแผงลอยที่มีผ้าใบหลากสีคลุมอยู่ ขึ้นอยู่กับการตกแต่งร้านของแต่ละคน ซึ่งกลายเป็นสีสันที่ผู้คนที่ไปเยี่ยมเยือนฟูกูโอกะต้องหาโอกาสไปลิ้มลองสักครั้ง


แน่นอนว่าความที่เป็นเมืองท่าที่มีชายฝั่งทอดยาว อาหารทะเลจึงต้องเป็นของขึ้นชื่ออันดับหนึ่ง โดยเฉพาะเมนูเด็ดที่ต้องอาศัยความชำนาญของกุ๊กผู้ปรุงเป็นหลักอย่างปลาปักเป้า ที่คนพื้นเมืองเขาเรียกกันว่าฟุกุ ซึ่งว่ากันว่าอาจจะเป็นที่มาของชื่อเมืองส่วนหนึ่ง

แต่เมนูเด็ดที่บรรดาแขกบ้านแขกเมืองพลาดไม่ได้เลยก็คือ ราเม็ง ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของฟูกูโอกะ โดยเฉพาะน้ำซุปสีดำเข้มจากซีอิ๊วของญี่ปุ่น ที่ผ่านการเคี่ยวกับกระดูกหมูจนได้ที่ บวกกับเส้นบะหมี่ที่เหนียวนุ่ม และเนื้อหมูแผ่นใหญ่ฝานบาง ๆ ที่โปะมาบนหน้า กินแกล้มกับไข่ต้มที่วางเป็นเครื่องเคียงอยู่บนโต๊ะ โดย สามารถปอกเปลือกลิ้มลองกันได้ตามสะดวก


เมนูนี้ไม่ใช่ว่าแค่นักท่องเที่ยวเท่านั้นที่ชื่นชอบ เพราะคนญี่ปุ่นเองก็ชื่นชอบไม่แพ้กัน และหากร้านไหนเป็นร้านดังอาจจะต้องยอมต่อคิวเพื่อรอที่นั่งด้านในร้านที่มีอยู่ไม่มากนัก โดยคุณสามารถเลือกราเม็งที่ถูกใจจากรูปภาพที่ติดอยู่บนตู้ขายคูปองที่อยู่หน้าร้าน เลือกได้เสร็จก็หยอดเงินซื้อคูปองแล้วเข้าไปยื่นให้พนักงานด้านใน ที่เหลือก็แค่นั่งรอเวลามาเสิร์ฟเท่านั้น


ใครที่ไม่รู้จะไปหาร้านราเม็งที่ไหนที่อร่อยขึ้นชื่อขอแนะนำให้ไปที่ชั้นบนของคาแนลซิตี้ ห้างหรูประจำเมือง ที่นี่เขาจัดพื้นที่ไว้สำหรับคนชอบราเม็งโดยเฉพาะ ที่ราเม็งสเตเดียม มีร้านราเม็ง เป็นสิบร้านให้เลือกตามความพอใจว่าชอบสูตรของกุ๊กคนใด แต่ใครที่ชอบกินแกล้มบรรยากาศแบบสบาย ๆ ก็ต้องไปหาตามแงยาไตอิแต่อาจจะมีอุปสรรคเรื่องภาษาตอนสั่งอาหารนิดนึง


พูดถึงคาแนลซิตี้ ขอบอกว่าใครที่ชอบของประเภทแบรนด์เนมทั้งหลาย ที่นี่อาจกลายเป็นสวรรค์น้อย ๆ แต่สำหรับคนที่ชอบช้อปแบบราคาประหยัดขอแนะนำให้ไปที่ย่านเทนจิน ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจจะดีกว่า เพราะมีร้านค้าให้เลือกเข้ามากมาย และราคาก็อยู่ในช่วงที่พอจะควักกระเป๋าซื้อได้ไม่ยาก โดยเฉพาะใครที่ชอบของถูกแสนถูกในร้าน 100 เยน อาจจะควักเงินจ่ายแทบไม่ทันเพราะร้าน 100 เยนที่นี่ไม่เพียงมีของหลากหลายแต่ยังกว้างขวางจนเดินแทบไม่ทั่ว

ช้อปจนกระเป๋าแฟบก็แล้ว หนังท้องก็ตึงแล้ว ควรจะออกไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนญี่ปุ่นเองยังต้องเดินทางมาถึงที่นี่กันบ้าง ห่างจากตัวเมืองฟูกูโอกะเพียงรถวิ่ง 30 นาที ก็จะถึงศาลเจ้าดาไซฟุ เท็มมังงุ ศาลเจ้าที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของเกาะคิวชู ว่ากันว่าบรรดานักเรียนนักศึกษา และพ่อแม่ที่อยากให้ลูกได้เรียนเก่งและสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ได้จะพากันมาขอพรพร้อมทั้งบนบานศาลกล่าว
เวลาจะขอพรนั้นไม่ใช่ว่าเพียงแค่ขอเสร็จแล้วก็โยนเหรียญ 50 เยนที่เป็นเหรียญสีทองซึ่งมีรูตรงกลางและเป็นเหรียญเดียวที่ไม่มีมูลค่ากำกับไว้ใส่ไปในกล่องเท่านั้น แต่เพื่อให้เทพเจ้าได้เห็นด้วยว่าใครเป็นคนขอ จะต้องหามุมให้ตรงกับกระจกที่ติดอยู่ด้านในของศาลเจ้า และต้องมองเห็นหน้าตัวเองด้วย พรที่ขอจึงจะสมหวังดังปรารถนา และก่อนเข้าก็อย่าลืมล้างมือล้างไม้และบ้วนปากก่อนด้วย


ออกจากศาลเจ้าดาไซฟุมาแล้วใครที่ยังช้อปไม่อิ่ม จะต้องตื่นตาตื่นใจกับบรรดาร้านรวงที่อยู่ตลอดสองข้างทางแน่นอน กระซิบนิดนึงว่าไม่ควรผ่านเลยร้านทุกอย่าง 1,050 เยน เพราะมีของที่น่าสนใจแถมราคาก็ยังพอทนได้อีกด้วย


มาถึงญี่ปุ่นแล้วถ้าไม่ได้ไปนอนเปลือยกายแช่น้ำแร่ก็อาจจะถูกหาว่ามาไม่ถึง ใกล้ ๆ กับฟูกูโอกะก็มีออน เซ็นมีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นอยู่ที่เบ็บปุ โดยก่อนที่จะได้ลงไปถึงเมืองน้ำแร่ที่มีควันพวยพุ่งออกมาจากทุกมุมเมืองนั้น จะต้องไม่ลืมแวะชมน้ำพุร้อนที่จะพุ่งตรงขึ้นมาจากผิวดินตรงเวลาเป๊ะทุกวันราวกับมีใครมาคอยเปิดก๊อกที่บ่อเลือด บ่อน้ำร้อนที่มีสีแดงเนื่องจากแร่ธาตุที่อยู่แถบนั้น


ร้านเบเกอรี่ Cafe Sweets



Secret Garden - Cafe Sweets สาทร - นวมินทร์ ซิตี้ อเวนิว

สวัสดีค่ะ วันนี้ iLoveToGo HIP Thailand พาเพื่อนๆ มาหวาาาาาาานนนนนนนนน กันบ้าง ที่ร้าน Cafe Sweets ค่ะ เป็นร้านขายเบเกอรี่ชื่อดังย่านสาทร ที่เป็นเจ้าของเดียวกันกับ Secret Garden Restaurant ค่ะ ร้านเค้าจะติดกัน แค่กระจกกั้นเท่านั้น ทานอาหารคาวเสร็จแล้วก็มาต่อของหวานได้เลย แต่วันนี้เราเลือกมาทาน Cafe Sweets เพราะอะไรนั้น มาหาคำตอบกันเลยค่าาาา ^o^/

เรามาเริ่มกันที่ เครื่องดื่มสุดฮิปของเค้า คือ กีวี-สตรอเบอร์รี่ เชค (Kiwi Strawberry Shake) (105) การตกแต่งแก้วเนี่ย ชอบค่ะ แปลกดี รสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ เย็นๆ ชื่นใจ

มาต่อกันที่ ชีส บราวนี่ (Cheese Brownie) (110) ชั้นบนเป็นชีสเค้กหนานุ่ม ชั้นล่างเป็นช็อกโกแล็ตบราวนี่รสเข้มข้น หน้าเค้กประดับด้วยบราวนี่หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ราดด้วยไวท์ ช็อคโกแล็ตซอสรสชาติไม่หวานเลี่ยนเลยค่ะ ยิ่งถ้าทานกับชาร้อนก็จะยิ่งเพิ่มความอร่อยค่ะ เค้กของที่นี่เค้าจะเป็นเค้กสไตล์ญี่ปุ่น คือ รสชาติจะไม่หวานมาก เค้กจะหอมๆ นุ่มๆ ค่ะ หันมุมให้เห็นลูกเต๋าบราวนี่ เค้าใส่ใจในรายละเอียดมาก แม้แต่ตัวลูกเต๋าก็ยังราด ไวท์ ช็อคโกแล็ตซอสเลย

เอิร์ล เกรย์ เค้ก (Earl Gray Cake) (110)
ชิ้นนี้แนะนำค่ะ เป็นเค้กหอมกรุ่นกลิ่นชาผู้ดีอังกฤษค่ะ เนื้อเค้กนุ่ม ไม่หวานเกินไป หน้าเค้กโรยด้วยผงโกโก้ เพิ่ม Detail อีกนิดด้วยช็อคโกแล็ต ทานเข้าไปคำแรก ได้รสชาติและกลิ่นชาหอมๆ เลยล่ะ ประทับใจมากๆ ค่ะ



เครป เค้ก (Crepe cake) (115) เป็นเมนูเด็ดประจำร้านนี้เลยค่ะ จะเป็นแผ่นเครปที่เรียงซ้อนกันหลายๆ ชั้น สลับแต่ละชั้นด้วยครีมสด ราดด้วยสตรอเบอร์รี่ซอส (Strawberry Source) เนื้อเครปนุ่มๆ กับครีมสด ผสมกับสตรอเบอร์รี่ซอส ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว เข้ากันมากๆ ค่ะ ใครที่ชอบเครปห้ามพลาดเด็ดขาดนะคะอ่ะ อีกมุมค่ะ เห็นสตรอเบอร์รี่ ซอสกันชุ่มๆ จริงๆ ตัวสตรอเบอร์รี่ เห็นแบบเนี้ย ตอนแรกนึกว่า จะหวานจนเลี่ยน ยังคิดว่าราดมาเยอะไปป่าวน๊อ แต่พอทานแล้ว อร่อยมากเลยค่ะ

นิวยอร์ค ชีสเค้ก (New York Cheese Cake) (110) เป็นชีสเค้กที่ประกอบไปด้วย เนื้อบิสกิตบดละเอียดที่อยู่ชั้นล่างสุด ไล่ขึ้นมาก็จะเป็นครีมสด เนื้อนุ่มกลิ่นหอมมัน และหน้าบนสุดราดด้วยเชอร์รี่เชื่อม ทำให้รสชาติของ New York Cheese Cake ชั้นนี้ เปรี้ยว หวาน มัน หอมอย่างลงตัวค่ะ


เรามาดูบรรยากาศกันบ้างดีกว่าค่ะ ร้านนี้ Theme ชัดเจนมากค่ะ คือ English Country โทนสีภายในร้านเป็นสีเหลืองพาสเทล


สังเกตจาก wallpaper ลายดอกไม้บนผนัง และก็เฟอร์นิเจอร์ที่เค้าใช้ตกแต่งเป็นโซฟาหวายสีขาว มีหมอนอิงลายดอกไม้เล็กๆ น่ารัก นอกจากนี้นะคะ ยังมีงานศิลปะเพ้นท์ดอกไม้สีหวานประดับผนังอีกด้วยค่ะโดยรวม เค้าจะใช้กระจกเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ให้ความรู้สึกโปร่ง เหมือนนั่งอยู่ในสวนเลยค่ะ เหมาะสำหรับการมานั่งเล่นจิบกาแฟในวันหยุดสบายๆ แบบนี้จริงๆค่ะด้านนอกร้าน ก็จะเป็นสไตล์บ้านไม้ชั้นเดียวสีขาว อยู่กลางสวนสวยๆ ดอกไม้หลากสี ทำให้บรรยากาศ ร่มรื่นและสดชื่นทีเดียวค่ะเค้า จะวางต้นไม้ไว้รอบๆ ตัวร้านเลยค่ะ และช่วงที่ไปนี่ก็เป็นช่วงคริสมาสต์-ปีใหม่พอดี เค้าก็เลยมีการตกแต่ง เป็น Theme คริสมาสต์ด้วยค่ะมีต้นคริสมาสต์สีขาวอยู่ในร้านด้วยโดยรวมแล้วร้านนี้ ชอบมากค่ะ สมกับที่เป็นร้านเบเกอรี่ชื่อดัง ตอนนี้เค้ามีเพิ่มอีก 2 สาขาแล้วด้วยค่ะ คือ ที่ นวมินทร์ซิตี้ และเมเจอร์ รัชโยธินค่ะ